ทดสอบความสดของดอกรัก
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ดอกรัก
ดอกสีขาวใช้ประโยชน์ในการร้อยมาลัย จัดพาน
ทำบายศรี ร้อยอุบะ ดอกรักที่แกะแล้วสามารถนำมาขายราคาแพงมาก ถ้าปลูกมาก ๆ แล้วเก็บดอกมาแกะ
ชั่งกิโลขาย สามารถขายทำรายได้ดีเกษตรกรเก็บดอกรักจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ
10-300 บาท ซึ่งราคาจะแพงในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น วันพ่อ
วันแม่ วันเข้าพรรษา วันมาฆบูชา แล้วราคาจะสูงมากในช่วงฤดูหนาวราวเดือนตุลาคม –
มกราคมของทุกปี ดอกรักจะมีราคาสูงมาก
เพราะเป็นช่วงต้นรักจะให้ดอกน้อย
แต่เนื่องจากอาจมีการกักตุนดอกรักไว้ในบางช่วง
บางเทศกาล ในการเก็บรักษานั้น อาจเก็บรักษาได้ไม่นานนัก
เนื่องจากดอกรักเป็นดอกไม้ที่ช่ำง่าย คล่ำง่าย
ขาดความคงทนจึงทำให้มีความเสียหายทางด้านการค้าขาย ทำให้เกิดความเสียหายกับผู้บริโภค
เพราะเมื่อนำไปใช้ดอกรักก็จะเสียความสดใหม่ ทำให้ดอกรักเก็บไว้ไม่ได้นาน
ไม่คงทนต่อสภาพ
จึงศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆเพื่อหาวิธีที่สามารถนำมาช่วยยืดอายุของดอกรักให้ได้นานยิ่งขึ้น
และหาข้อเปรียบเทียบระหว่างยาซาร่าและเครื่องดื่มชูกำลัง M150 ว่าสิ่งใดมีสารเคมีที่ช่วยให้ดอกรักมีความสดใหม่คงไว้ได้นานกว่า
เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการเก็บรักษาดอกรักเช่น พวงมาลัยร้อย การทำพานพุ่มเนื่องในโอกาสต่างๆ
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
-เพื่อหาวิธีที่จะช่วยยืดประสิทธิภาพของดอกรักให้ยาวนานขึ้น
-เพื่อเป็นแนวทางให้การช่วยเกษตรกรลดต้นทุนทางการผลิตให้น้อยลง
-เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้นจากการที่ดอกรักขายได้ปริมาณมากขึ้น
-เพื่อศึกษาหาสารเคมีที่ช่วยให้ชะลอการเหี่ยวเฉาของดอกรัก
สมมติฐาน
- การใช้ยาซาร่า จะช่วยให้ดอกมะลิมีประสิทธิภาพความสดใหม่มากกว่าเครื่องดื่มชูกำลังM150
ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรต้น
1.
ยาซาร่า
2.
เครื่องดื่มชูกำลัง
ตัวแปรตาม
ความสดของดอกไม้
ตัวแปรควบคุม
แหล่งที่มาของดอกไม้ ปริมาณของสารที่ใช้
ปริมาณน้ำ
ขอบเขตการศึกษา
ดอกรักจากตลาดสด
วิธีการดำเนินการ
1.
ศึกษาเนื้อหาและวิธีการทดลองซึ่งเหมาะที่ทำการศึกษา
2.
เมื่อได้ชื่อโครงงานแล้ว คือ การทดสอบรักษาความสดของดอกรัก
แล้วจัดทำเค้าโครงโครงงาน วัตถุประสงค์ในการจัดทำโครงงาน และประโยชน์ในการจัดทำโครงงาน
3.
ทำการหาวัสดุอุปกรณ์ทดลองทดสอบความสดของดอกรัก บันทึกผลการทดลอง สรุปผลการ ทดลอง
4.
จัดทำเนื้อหาที่ได้จากการทดลองการรูปแบบของโครงงาน
5.จัดการวบร่วมเป็นรูปเล่มและพร้อมนำเสนอ
ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษา
ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษา
1. ทำให้ผู้บริโภคได้รับความรับรู้เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการช่ำเฉาและคล่ำดำของดอกรักได้
2. ช่วยให้ผู้บริโภคกักเก็บดอกรักให้สดใหม่ไว้ได้นานเพื่อใช้ประโยชน์ได้สูงสด
ในการศึกษาโครงงานเรื่องการทดสอบรักษาความสดของดอกรักได้ค้นคว้ารวบรวมข้อมูลจากเอกสารและบทความที่เกี่ยวข้อง
โดยนำเสนอตามลำดับดังนี้
ลักษณะทั่วไปของดอกรัก
ภาพที่ 1 :
ดอกรัก
ชื่อวิทยาศาสตร์
Calotropis gigantea(Linn.) R.Br.ex Ait. วงศ์ ACSLEPIADACEAE
ชื่อสามัญ Crown Flower, Giant Indian Milkweed, Gigantic ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1.5
- 3 เมตร ทุกส่วนมียางขาวเหมือนน้ำนม ตามกิ่งมีขน ใบ
เป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม รูปรีแกมขอบขนาน ปลายแหลมโคนเว้า กว้าง 6 – 8 ซ.ม. ยาว 10 – 14 ซ.ม. เนื้อใบหนา ใต้ใบมีขนนุ่ม
ก้านสั้น ดอกสีขาวหรือสีม่วง ออกเป็นช่อ ตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 – 3 ซม. มีรยางค์เป็นคล้ายมงกุฎ 5 สัน เกสรตัวผู้ 5 อัน ผลเป็นฝักคู่ กว้าง 3 – 4 ซม. ยาว 6 – 8 ซม. เมื่อแก่แตกได้ เมล็ดแบนสีน้ำตาล จำนวนมาก
มีขนสีขาวเป็นกระจุกอยู่ที่ปลายด้านหนึ่ง
ถิ่นกำเนิด เอเซียกลาง อินเดีย ออกดอก
ตลอดปี ขยายพันธุ์ เมล็ด, ปักชำกิ่ง
ภาพที่ 2 : ลักษณะลำต้น
ใบรัก
ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรีแกมขอบขนาน
ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ
4-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-30 เซนติเมตร แผ่นใบหนาอวบน้ำ
หลังใบและท้องใบมีขนสีขาวปกคลุม เมื่อกระทบแสงจะสะท้อนเป็นสีเหลืองนวล
ใบไม่มีก้านใบ หรือมีก้านใบสั้น
ภาพที่ 3 : ลักษณะใบ
ดอกรัก
ออกดอกเป็นช่อแบบซี่ร่ม โดยจะออกตามซอกใบใกล้ส่วนยอดหรือตามปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกย่อยจำนวนมาก
ก้านช่อดอกยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกย่อยยาวประมาณ 2.5-4
เซนติเมตรดอกเป็นสีขาว สีม่วง หรือสีม่วงแดง (สีขาวอมม่วงก็มี) มีกลีบดอก 5 กลีบ
กลีบดอกผิวเกลี้ยง แต่ละกลีบเป็นรูปรีถึงรูปใบหอก ปลายแหลมหรืออาจบิด กว้างประมาณ
0.5-0.8 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ส่วนโคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน
หลอดกลีบดอกสั้น และมีรยางค์ลักษณะเป็นรูปมงกุฎขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางดอก มี 5 แฉก
อวบน้ำ เชื่อมติดกัน (นิยมนำมาแยกใช้ร้อยเป็นพวงมาลัย) สั้นกว่าเส้าเกสรเพศผู้
ปลายมน มีติ่งมนทางด้านข้าง ฐานเป็นเดือย และอับเรณูมีเยื่อบางหุ้ม
ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ ลักษณะของกลีบเป็นรูปไข่กลับ ปลายแหลม กว้างประมาณ 2-3
มิลลิเมตร และยาวประมาณ 4-6 มิลลิเมตร และมีขนนุ่มปกคลุม
สามารถออกดอกและติดผลได้ตลอดปี แต่จะออกมากในช่วงฤดูร้อน
(หมอยาพื้นบ้านของไทยจะเรียกต้นรักที่มีดอกสีม่วงว่า “ต้นธุดงค์”)
ภาพที่ 5 : ลักษณะของดอก
ผลรัก
ออกผลเป็นฝักติดกันเป็นคู่ๆ ลักษณะของฝักเป็นรูปรีโค้ง ปลายฝักแหลมงอ
มีขนาดกว้างประมาณ 2.58-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร ผิวเป็นคลื่น ผิวฝักมีนวลสีขาวเหนียวมือ
ฝักอ่อนเปลือกสีขาว เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแลแตกออก
ภายในฝักมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก ลักษณะของเมล็ดแบนเป็นสีน้ำตาล ยาวประมาณ 5-7
มิลลิเมตร และมีขนสีขาวติดอยู่เป็นกระจุกที่ปลายของเมล็ด ยาวประมาณ 2.5-4
เซนติเมตร และสามารถปลิวไปตามลมได้ไกล
ภาพที่ 6 : ผลดอกรัก
ปกติแล้วต้นรักมักขึ้นอยู่ตามที่รกร้าง
ไม่ค่อยมีการเพาะปลูกกันต้นรักเป็นพันธุ์ไม้ที่พบเห็นได้ทั่วไปตามที่รกร้างว่างเปล่า
ริมทางแม้แต่ริมทะเลก็สามารถพบได้ เพราะต้นรักขึ้นง่าย ทนทาน
บางครั้งจะเห็นเมล็ดรักซึ่งมีขนสีขาวเป็นพู่ยาวๆ ปลิวตามลมไปในที่ต่างๆ
แต่สำหรับอุตสาหกรรมในครัวเรือนอาจจะต้องปลูกไว้ใช้
รักขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด หรือการปักชำ ระยะเวลาเติบโตจนออกดอกประมาณ 8 เดือน
ใส่ปุ๋ย 16-16-16 เดือนละครั้ง
สรรพคุณของต้นรัก
1. ดอกมีรสเฝื่อน สรรพคุณช่วยทำให้เจริญอาหาร (ดอก)
2. ต้นมีรสเฝื่อนขม มีสรรพคุณช่วยบำรุงทวารทั้งห้า
(ต้น)
3. ยางจากต้นเป็นยาแก้อาการปวดหู
ปวดฟัน (ยางขาวจากต้น)
4. รากใช้เป็นยาแก้ไข้
(ราก)แก้ไข้เหนือ (ราก)
5. ช่วยแก้อาการไอ อาการหวัด แก้หอบหืด (ดอก)
6.
ช่วยทำให้อาเจียน (เปลือกต้น ราก เปลือกราก)
8.
ช่วยขับเหงื่อ (ราก
เปลือกราก)
9.
เปลือกรากมีสรรพคุณช่วยขับเสมหะได้ (เปลือกราก)
10.
ช่วยในการย่อย (ดอก)
11. ใช้เป็นยารักษาโรคบิด (ราก เปลือกราก) แก้บิดมูกเลือด (ราก)
12.
ยางขาวจากต้นมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง (ยางขาวจากต้น)
13. ใช้เป็นยาขับพยาธิ
โดยใช้ยางขาวจากต้นนำมาทาตัวปลาช่อนแล้วย่างไฟให้เด็กกินเป็นยาเบื่อพยาธิไส้เดือน
(ยางขาวจากต้น)
14.
ช่วยแก้ริดสีดวงในลำไส้ (ยางขาวจากต้น)
15. ใบมีสรรพคุณเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร
16. ยางขาวจากต้นมีฤทธิ์เป็นยาขับเลือด ทำให้แท้งได้
(ยาง)
17.
เปลือกต้นมีสรรพคุณช่วยขับน้ำเหลืองเสีย (เปลือกต้น)
18. ยางไม้ใช้ใส่แผลสดเป็นยาฆ่าเชื้อ
(ยางขาวจากต้น)
19. ช่วยแกคุดทะราด (ใบ)
20. ช่วยแก้กลากเกลื้อน (ยางขาวจากต้น ดอก)
21. น้ำยางจากต้นใช้รักษาโรคเรื้อน (ยางขาวจากต้น)
22. ผลหรือฝัก ใช้แก้รังแคบนหนังศีรษะ (ผล)
23.
ใบสดใช้เป็นยาพอกเพื่อบรรเทาอาการของโรคไขข้อ (ใบ)
ประโยชน์ของต้นรัก
ในทางไสยศาสตร์จะนิยมใช้รากของต้นรักที่มีดอกซ้อนสีขาวมาแกะเป็นรูปพระปิดตา
รูปนางกวัก หรือรูปเด็กขนาดเล็กที่นำมารวมกับรูปเด็กที่แกะได้จากรากของมะยม
หรือที่เรียกว่า “รักยม” แล้วนำมาแช่ในขวดเล็กๆ ที่ใส่น้ำมันจันทน์
ก็นับว่าเป็นของขลังอีกอย่างหนึ่งที่ชายไทยสมัยก่อนนิยมพกติดตัวเวลาออกจากบ้าน
ส่วนใบของต้นรักนั้นก็นำมาใช้ทำเสน่ห์ให้คนรักได้
โดยใช้เฉพาะใบจากต้นรักซ้อนสีขาวเช่นเดียวกันสำหรับชาวฮาวายถือว่ามาลัยดอกรักที่นำมาทำเป็นสร้อยคอ
คือ สัญลักษณ์ของความเป็นกษัตริย์
ดอกรักนับว่าเป็นสินค้าอีกอย่างหนึ่งที่คนไทยต้องการใช้ตลอดปี
เพราะนำมาใช้ในการร้อยพวงมาลัย
บางพื้นที่มีการปลูกต้นรักเอาไว้เก็บดอกเพื่อนำมาร้อยเป็นพวงมาลัยไว้ขายเองโดยเฉพาะ
โดยมักจะปลูกร่วมกับต้นมะลิ
เพราะต้องใช้ประกอบเป็นพวงมาลัยที่คนไทยคุ้นเคยกันมากที่สุดและดอกยังสามารถนำมาใช้ทำดอกไม้ประดิษฐ์ได้อีกด้วยในพิธีงานแต่งของคนไทยภาคกลาง
นอกจากเราจะใช้ดอกรักนำมาร้อยเป็นพวงมาลัยสวมให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวแล้ว
ก็ยังใช้ใบของต้นรักนำมารองก้นขันใส่สินสอดและขันใส่เงินทุนที่ให้แก่คู่สมรสอีกด้วยในประเทศอินเดียจะใช้น้ำจากผลเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มที่เรียกว่า
“บาร์”
เส้นใยจากลำต้นและผลนำมายัดใส่หมอน
และมีรายงานว่าปุยจากเมล็ดสามารถนำไปใช้ทำเส้นด้ายที่ใช้ทอผ้า
และนำมาใช้แทนนุ่นได้เนื้อไม้นำมาเผาเป็นถ่านที่ใช้สำหรับผสมดินปืน
พิษของต้นรัก
ยางจากต้นรักเป็นอันตรายต่อผิวหนังและดวงตา
ดังนั้นในการเก็บเกี่ยวดอกรัก จึงต้องแต่งกายอย่างรัดกุมมิดชิด สวมถุงมือยาง
แว่นตา และใช้ผ้าปิดปากและจมูก ยางและใบมีสารพิษ
Digitalis ซึ่งออกฤทธิ์เป็นพิษต่อหัวใจและเลือด
ทำให้มีอาการระคายเคืองเยื่อบุปากและกระเพาะอาหารก่อน แล้วตามด้วยอาการอาเจียน
ปวดศีรษะ ท้องเดิน และปวดท้อง ถ้ารับประทานเข้าไปมากและล้างท้องไม่ทัน
สารพิษจะถูกดูดซึมผ่านลำไส้และแสดงความเป็นพิษต่อหัวใจ
ซึ่งจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับชนิดของไกลโคไซด์
วิธีการรักษาพิษ
ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเพื่อทำการล้างท้อง และรักษาไปตามอาการ และถ้าจาก
EKG พบว่ามี Ventricular tachycardia ควรให้ potossium chloride (5-10 g) หรือให้ K+ (80 mEq/L) ถ้ามีอาการเจ็บแขนก็อาจจะช่วยด้วยการนวดและประคบน้ำร้อน
การเก็บรักษาดอกรัก
การเก็บดอกรักโดยใช้อุณหภูมิต่ำจะสามารถช่วยยืดอายุและชะลอการเสื่อมสภาพของดอกรักได้นาน
7-10วัน (โดยเฉลี่ย 7.6 วัน)
ส่วนดอกรักที่เก็บในอุณหภูมิห้องปกติจะมีอายุการเก็บรักษาโดยเฉลี่ยเพียง 2 วัน การเก็บดอกรักควรเก็บโดยการนำมาบรรจุลงในถุงพลาสติกแล้วแช่ในน้ำแข็งจะช่วยยืดอายุการเก็บรักษาดอกรักได้ดีที่สุดโดยเฉลี่ยประมา
11.3 วัน ประโยชน์ เปลือกราก รักษาบิด
ทำให้อาเจียน ขับเหงื่อ ยางมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง
ถ้าถูกผิวหนังทำให้ระคายเคือง ดอกทำดอกไม้ประดิษฐ์ดอก รักษาอาการไอ หอบหืด และหวัด
ช่วยให้เจริญอาหารสามารถบรรเทาอาการปวดฟัน ปวดหู ขับพยาธิ รักษากลากเกลื้อน
และใช้เป็นยาขับเลือด
ตามประเพณีในประเทศไทยนิยมนำดอกรักมาร้อยเป็นมาลัยร่วมกับดอกมะลิ
ดาวเรือง จำปา หรือกุหลาบ ใช้ในงานมงคลที่เกี่ยวเนื่องกับความรัก
เพราะดอกรักสื่อความหมายถึงความรัก เช่น งานหมั้น และงานแต่งงาน
โดยใช้ในขันหมากหมั้น ขันหมากแต่ง จัดพานรองรับน้ำสังข์ ร้อยเป็นมาลัยบ่าวสาว
และโปรยบนที่นอนในพิธีปูที่นอน เป็นต้น
ส่วนชาวฮาวายถือว่ามาลัยดอกรักที่ทำเป็นสร้อยคอ คือสัญลักษณ์ของความเป็นกษัตริย์
พันธุ์รักแก้วดอกจะมีลักษณะอ้วน
ป้อม ดอกเล็ก และมีน้ำหนักน้อย ไม่เป็นที่นิยมของตลาดร้อยมาลัย
เช่นเดียวกับดอกรักสีม่วง แต่ตลาดจะมีความนิยมใช้ดอกรักสีขาว
พันธุ์จิ้งจกซึ่งลักษณะของดอกตูมจะดูคล้ายกับปากจิ้งจก
ดอกจะมีสีขาวใส มันวาว ทรงดอกยาวใหญ่ และมีน้ำหนักคล้ายกับดอกรักที่ทำมาจากพลาสติก
ปัจจัยที่มีผลต่อความสดของดอกไม้
1.
อุณหภูมิ ผลของอุณหภูมิต่อกระบวนการเมตาโบลิสม์ของผลิตผลนั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
และได้กล่าวถึงแล้วในบทต้นๆ อย่างไรก็ตาม
ผักบริโภคใบจะเสื่อมสภาพเร็วที่อุณหภูมิสูงและจะเกิดช้าเมื่ออุณหภูมิต่ำ
2.
การควบคุมสภาพบรรยากาศ ปริมาณของออกซิเจนที่ต่ำลงและปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงขึ้น
สามารถชะลอการเหลืองของผักบริโภคใบได้
โดยลดการสังเคราะห์เอทธิลีนของผักให้น้อยลงและยังลดการทำงานของเอทธิลีนลงด้วยเช่นกัน
3.
แสง แสงจะชะลอการเสื่อมสภาพของผักบริโภคใบได้ แต่ปัจจัยของแสงนี้มีผลกระทบต่อผลิตผลหลังเก็บเกี่ยวไม่มากเพราะผลิตผลส่วนใหญ่ถูกเก็บรักษาในที่มืด
แต่แสงอาจจะมีผลกระทบในกรณีที่ผักได้รับการเก็บเกี่ยวแล้วยังได้รับแสงที่มีความเข้มสูงพอ อาจจะก่อให้เกิด สีเขียวได้เช่น กรณีของกะหล่ำปลีที่เก็บเกี่ยวแล้วในระหว่างการเก็บรักษาได้รับแสง
การเสื่อมสภาพของดอกไม้
โดยทั่วไปแล้วอาการเหี่ยวของดอกไม้จะสัมพันธ์กับการหมดอายุในการปักแจกัน
อาการเหี่ยวจะสัมพันธ์โดยตรงกับการขาดน้ำ ในขณะปักแจกันนั้น Water Conductivity ของดอกไม้จะลดลงไปเรื่อยๆ
ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะการขาดน้ำของดอกไม้ อาการร่วงโรยของดอกไม้แต่ละชนิดจะแตกต่างกันออกไปเช่น
กลีบดอกร่วง เหี่ยวทั้งดอกและเปลี่ยนสี เป็นต้น
การร่วงโรยของดอกไม้จะเกิดเร็วขึ้นเมื่อมีการถ่ายละอองเกสรเกิดขึ้น
เพราะการถ่ายละอองเกสรกระตุ้นให้รังไข่เจริญ และดึงเอาเมโตโบไลท์จากส่วนต่างๆ
ของดอกมาใช้ เพื่อพัฒนาให้รังไข่เจริญเติบโตเป็นผลต่อไป
การลดลงของน้ำหนักสด
ลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งของดอกที่กำลังร่วงโรย
คือ การลดลงของน้ำหนักสดเพราะการสูญเสียน้ำ อาการเหี่ยวและคออ่อน (Bent neck) มักจะพบในดอกไม้หลายชนิด เช่น
กุหลาบและเยอบีรา
เนื่องจากการดูดน้ำเป็นไปอย่างผิดปกติ
ซึ่งอาจจะเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ไปอุดตันท่อน้ำ
หรือจุลินทรีย์อาจจะปล่อยสารพิษออกมา
นอกจากนั้นการรวมตัวกันของสารที่เกิดจากการสลายตัวของเซลล์ก้านดอกหรือฟองอากาศ
ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดอกไม้ดูดน้ำไม่ได้การปรับระดับ pH ของสารเคมีที่แช่ดอกไม้ให้อยู่ในสภาพที่เป็นกรด
จะทำให้การดูดน้ำดีขึ้น
การใช้สารเคมีฆ่าแบคทีเรียและผงซักฟอก หรือการลดปริมาณอากาศในน้ำลง
จะช่วยลดปัญหาการเหี่ยวของดอกลงได้
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อถึงระยะหนึ่งดอกไม้ก็จะเหี่ยวไปเพราะเมื่อดอกร่วงโรยไปถึงระดับหนึ่งแล้ว
เยื่อหุ้มแวคคิวโอจะเสื่อมสภาพไปทำให้มีการรั่วไหลของประจุและสารภายในทำให้เกิดการซึมของน้ำออกจากเซลล์และเกิดลักษณะเหี่ยวขึ้น
วิธีการดูแลรักษาดอกไม้ให้นานคงทน
เราควรเริ่มตั้งแต่การเลือกซื้อดอกไม้ที่สดใหม่ เมื่อเรานำดอกไม้ที่ได้มาจากร้านค้าก่อนอื่น คือ การทำความสะอาดก้านโดยการริดใบและหนามออก จากนั้นจะมีวิธีการตัดก้านต่างๆ เช่น การตัดก้านเฉียง เพื่อให้ดอกไม้ดูดซึมน้ำได้ดี แล้วจึงนำไปแช่ในน้ำสะอาด หรือ บางครั้งอาจจะใช้ฟลาวเวอร์ฟูดส์ผสมลงในน้ำ เพื่อแช่ดอกไม้ ก็จะทำให้ดอกไม้สดและฟื้นต้นเร็วขึ้น
วิธีการตัดดอกไม้นั้นมีหลายวิธี เช่น
การตัดก้านเฉียง การทุบก้าน
การตัดก้านใต้น้ำ การตัดก้านเป็นแฉก การตัดก้านแช่ในน้ำเย็น การตัดก้านแช่ในน้ำแต่ดอกรักเมื่อระยะเวลาผ่านไปในระยะหนึ่งก็จะเกิดการช่ำของดอก
หรือเกิดสีคล่ำดำซึ่งทำให้หมองดูไม่สดใหม่ไม่น่าซื้อ และเก็บไว้ไม่ได้นานก็จะเฉา
เราจึงในยาซาร่าซึ่งมีส่วนประกอบเป็นยาพารา
ซึ่งมีสารเคมีบางตัวที่ช่วยให้ดอกไม้ยังคงสภาพสดใหม่ได้นานกว่าปกติ
และเครื่องดื่มชูกำลัง M150 ที่มีน้ำตาลซึ่งสามารถช่วยให้ดอกไม้ยังคงความสดใหม่ได้ดีกว่าการเก็บรักษาปกติ
ดังนั้นการทดลองนี้จึงมุ่งเน้นที่จะทราบว่า
ยาซาร่า หรือ เครื่องดื่มชูกำลังM150 จะมีสารเคมีที่ทำให้ดอกไม้คงความสดใหม่ได้นานกว่ากัน
ซึ่งอาจนำการทดลองนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น การร้อยมาลัย การทำพานพุ่ม การค้าขายดอกรัก
ยา Sara (Paracetamol หรือ Acetaminophen)
ชื่อสามัญ Paracetamol ยาพาราเซตามอล (Paracetamol
หรือ Acetaminophen) มีสรรพคุณ
แก้ปวดระดับน้อยไปจนถึงระดับปานกลาง แต่ไม่ช่วยลดการอักเสบของร่างกาย เช่น
การอักเสบจากถูกกระแทกฟกช้ำ ใช้เป็นยาลดไข้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ข้อดีของยาพาราเซตามอลคือ
ไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร สามารถรับประทานพร้อมอาหารหรือขณะท้องว่างได้
องค์ประกอบของยา (อังกฤษ: drug composition) หมายถึงส่วนประกอบทางเคมีในตำรับยา
หรือรูปแบบยา (dosage forms)ซึ่งแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ
ดังนี้รูปแบบยาที่เป็นของแข็ง (Solid Dosage Forms) ได้แก่
ยาเม็ด (Tablets) ยาแคปซูล (Capsules) ซึ่งมีองค์ประกอบของยาดังนี้
ตัวยาสำคัญ
(Active Ingredients) เช่น แอสไพริน (Aspirin)
สารเพิ่มปริมาณ
(Exepients) เช่น แป้งมัน (starches) น้ำตาลแล็คโตส (Lactose)
แคปซูล
(Capsules)
สารหล่อลื่น
(Lubricants) เช่น ทัลกั้ม (talcum)
สารแต่งกลิ่น
(Flavors)
รูปแบบยาที่เป็นของเหลว (Liquid Dosage Forms) ได้แก่ ยาน้ำ (Solutions) ยาฉีด (Parenterals) ซึ่งมีองค์ประกอบของยาดังนี้
ตัวยาสำคัญ
(Active Ingredients) เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol)
ฯลฯ
ส่วนประกอบทำหน้าที่เป็นตัวทำละลาย
(Sovents) หรือทำให้เจือจาง (Diluents) หรือตัวนำส่งยา (Vehicles )ส่วนประกอบทำหน้าที่เป็นสารแต่งสี
แต่งกลิ่นและแต่งรสขวดแก้วหรือพลาสติกผนึก (Ampules) สำหรับยาฉีด
พาราเซตามอลประกอบไปด้วยวงเบนซีน
ถูกแทนที่ด้วยหมู่ไฮดรอกซิลและไนโตรเจนจากหมู่เอไมด์ในรูปแบบ para (1,4)[7]
หมู่เอไมด์คืออะเซตาไมด์ (เอทามาไมด์ในระบบคอนจูเกตด์)
อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของหมู่ไฮดรอกซิล ณ ตำแหน่งของออกซิเจน, หมอกอิเล็กตรอนของวงเบนซีน, อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของไนโตรเจน,
p ออร์บิตัลหมู่หมู่คาร์บินิลของคาร์บอน
และอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของออกซิเจนในหมู่คาร์บอนิลจะสร้างพันธะแก่กัน (conjugate)
ทำให้มีหมู่กระตุ้น (activating group) 2
หมู่ทำให้วงเบนซีนจะทำปฏิกิริยากับสารจำพวกอิเล็กโตรฟิลิก อะโรมาติก
(สารที่ทำปฏิกิริยากับสารที่มีอิเล็กตรอน)
การแทนที่ของอะตอมเกิดขึ้นในตำแหน่งออร์โธและพาราโดยตรง ทุกตำแหน่งในวงจะมีความสามารถถูกกระตุ้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง
การทำปฏิกิรยาของสารจะทำให้เบสจากออกซิเจนและไนโตรเจนลดลง
ขณะที่ทำให้ความเป็นกรดจากหมู่ไฮดรอกซิลเพิ่มขึ้นจากการย้ายตำแหน่งประจุของประจุฟีนออกไซด์
ภาพที่ 7 :
โครงสร้างยาพาราเซตามอล
เครื่องดื่มชูกำลัง
ภาพที่ 8 : เครื่องดื่มชูกำลัง
เป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมของสารกาเฟอีน/คาเฟอีน
(Caffeine) ในปริมาณไม่เกิน 50 มิลลิกรัม
ต่อ 1 ขวด (100 - 150 มิลลิลิตร)
เครื่องดื่มชนิดนี้ส่วนใหญ่เน้นไปทางด้านพลังงาน โดยส่วนใหญ่แล้วเครื่องดื่มชนิดนี้จะนิยมดื่มในหมู่ผู้ใช้แรงงาน
และคนที่ทำงานหนัก เนื่องจากเมื่อทำงานเสร็จ ร่างกายจะอ่อนเพลีย
จึงต้องการพลังงานชดเชยกลับมา
ส่วนประกอบของเครื่องดื่มชูกำลัง
ส่วนใหญ่ในเครื่องดื่มชูกำลังจะมีส่วนผสมที่สำคัญคือ
สาร Xanthine (สารกระตุ้นระบบประ สาทชนิดหนึ่ง), วิตามิน บี และสมุนไพร บางยี่ห้อก็ใส่ส่วนผสมเพิ่มเติม เช่น Guarana
(สารชนิดหนึ่งที่ได้จากพืช มีสรรพคุณกระตุ้นระบบประสาท) แปะก๊วย โสม
บางยี่ห้อก็จะใส่น้ำตาลในปริ มาณที่สูง บางยี่ห้อก็ถูกออกแบบให้มีพลังงานต่ำ
แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนผสมหลักของเครื่องดื่มชูกำลังก็คือ กาเฟอีน/คาเฟอีน (Caffeine)
ซึ่งเป็นส่วนผสมชนิดเดียวกันกับกาแฟหรือชา
เครื่องดื่มชูกำลังส่วนใหญ่จะมีปริมาตร
237 มิลลิลิตรต่อขวด (ประมาณ 8 ออนซ์)
มีสารคา เฟอีนประมาณ 80 มิลลิกรัมต่อ 480 มิลลิลิตร [ในประเทศไทยกำหนดให้มีส่วนผสมของสารคาเฟ อีนในปริมาณไม่เกิน 50
มิลลิกรัม ต่อ 1 ขวด (100 - 150 มิลลิลิตร)] โดยในการทดสอบสูตรของเครื่องดื่มชูกำลังนั้น กลูโคส
มักเป็นส่วนผสมพื้นฐานของเครื่องดื่มชูกำลังเสมอ (ซึ่งผสมอยู่ในคา เฟอีน, ทอรีน (Taurine/กรดอะมิโนชนิดหนึ่งช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อ),
และสารกลูโคโน แล็คโทน/Gluconolactone/วัตถุเจือปนอาหารที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร)
2.2.5 Salicylic
ภาพที่ 9 : โครงสร้าง Salicylic
เป็นสารประกอบ
Phenolic อย่างง่ายที่มีผลต่อขบวนการเจริญเติบโตของพืชเช่นการเปิด-ปิดของปากใบการงอกของเมล็ดการดูดซับประจุการแสดงออกของเพศและการต้านทานต่อการเข้าทำลายของเชื้อราโรคนอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับขบวนการสังเคราะห์และการทำงานของเอธิลีน
(biosynthesis and action of ethylene) มีการศึกษาในกล้วยพบว่า
Salicylic acid สามารถชะลอการสุกได้โดยมีผลยับยั้งการสังเคราะห์หรือการทำงานของเอธิลีน
(SrivartavaและDwivedi, 2000) Salicylic acid และอนุพันธุ์ของ Salicylic(acetylalicylic acid, ASA) ยังมีผลในการยับยั้งการทำงานของเอธิลีนในเนื้อเยื่อของลูกมีผลในการยับยั้งการเปลี่ยน
ACC ไปเป็นเอธิลีนนอกจากนี้ Salicylic acid ยังมีผลในการยับยั้งกิจกรรมของเอนไซม์ ACC oxidase มีผลในการลดกิจกรมของเอนไซม์Liopoxygenase
(LOX) ซึ่งมีผลทำให้ปริมาณของ free radical และการผลิตเอธิลีนลดลง
สามารถพบได้ในผลไม้บางชนิด เช่น ส้ม เชอรี่ ราสเบอรี่ แอปปริคอต สับปะรด
แบล็คเบอร์รี่ สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆเช่น โรคมะเร็งลำไส้ และโรคหัวใจ
Ethylene
ภาพที่ 10 : โครงสร้าง Ethylene
ก๊าซเอธิลีนเป็นก๊าซที่เกิดจากพืชผักผลไม้และดอกไม้บางชนิดความเข้มข้นหรือปริมาณของก๊าซมากน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของพืชผักผลไม้นั้นๆโดยสามารถเป็นหนึ่งในล้านส่วน
(Part per million; ppm) หรือหนึ่งในพันล้านส่วน (Part
per billion; ppb) ซึ่งปริมาณเพียงแค่ 0.1 ppm ก็มีผลต่อการความแข็งแรงของพืชทำให้พืชเจริญเติบโตได้เร็วขึ้นหรือแก่หรือเหี่ยวเร็วขึ้นผลไม้ที่สุกเป็นที่รู้กันว่าก่อให้เกิดก๊าซเอธิลีนถ้าเกิดในปริมาณมากๆจะทำให้พืชผักหรือผลไม้เหี่ยวลงจนถึงกับเน่าเสียได้แม้แต่การตัดกิ่งไม้ตัดก้านดอกไม้ตัดเพื่อเอาผลไม้จากต้นก็สามารถก่อให้เกิดก๊าซเอธิลีนได้ซึ่งทำให้ใบไม้เหี่ยวเฉาได้เร็ว
การสังเคราะห์ Ethylene
Ethylene สร้างจาก methionine
ซึ่ง methionine จะถูกเปลี่ยนรูปไปเป็น S-adenosylmethionine
(AdoMet, SAM) โดยเอนไซม์ AdoMetsynthetaseส่วนหนึ่งของ
AdoMetจะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ในขั้นตอนดังต่อไปนี้คือเปลี่ยน methyl
thioadenosineไปเป็น methylthioriboseไปเป็น methyl-thioribose-1-phosphate
ไปเป็น 2-keto-4-methylbutyrate และกลับไปเป็น
methionine อีกครั้งหนึ่ง (Abeles et al. 1992) นอกจากนี้ AdoMetยังดำเนินไปตามกระบวนการอีก 2 กระบวนการคือ ในกระบวนการหนึ่ง AdoMetจะเปลี่ยนไปเป็น
S-adenosylmethylthiopropylamineโดยเอนไซม์ AdoMet
decarboxylase และต่อไปในกระบวนการสังเคราะห์ polyamine ในอีกกระบวนการหนึ่ง AdoMetจะเปลี่ยนไปเป็น 1-aminocyclopropane-1-carboxylic
acid (ACC) โดยเอนไซม์ ACC synthase (ซึ่งเป็นตัวควบคุมอัตราการสังเคราะห์ในกระบวนการนี้)จากนี้อาจเปลี่ยนไปเป็น
ethylene โดย ACC-oxidase หรือเปลี่ยนไปเป็นmalonyl-ACC
(ซึ่งเป็นรูปผลิตภัณฑ์ที่ไม่ออกฤทธิ์) โดยเอนไซม์ ACC
N-malonyltransferaseสาร HCN ที่ได้ออกมาจากการเปลี่ยน
ACC ไปเป็น ethylene
บทบาทของเอทธิลีนหลังการเก็บเกี่ยว
1. เร่งให้เกิดการสุกในขณะขนส่งผลไม้หรือระหว่างการเก็บรักษา
ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจได้
2. เร่งการเสื่อมสภาพให้เร็วขึ้น
ทำให้ผักใบ หรือผักที่มีสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
เพราะสูญเสียคลอโรฟิลล์ไปเร็วขึ้น
3. มีผลกระทบต่อรสชาติของผักบางชนิด
เช่น แครอท ถ้าได้รับ เอทธิลีน ในปริมาณที่สูงจะเกิดรสขม
เพราะเอทธิลีนกระตุ้นให้มีการสร้างสาร isocoumarin ขึ้นมา
นอกจากนั้นเอทธิลีนยังทำให้รสชาติของมันเทศเสียไปด้วยเพราะเกิดสาร ipomeamaroneขึ้นมา
4. เร่งการงอกของหัวมันฝรั่งในระหว่างเก็บรักษา
การให้เอทธิลีนแก่มันฝรั่งใน ช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณ 72
ชั่วโมง ในปริมาณ 2 ส่วนต่อล้าน
จะกระตุ้นให้หัวมันฝรั่งมีอัตราการหายใจสูงขึ้นและงอก ซึ่งอาจจะเป็น
ผลดีต่อมันฝรั่งที่ใช้ทำเมล็ดพันธุ์แต่จะเป็นผลเสียกับมันฝรั่งที่จะนำไปบริโภค
นอกจากนั้นการที่หัวมันฝรั่งได้รับเอทธิลีนยังอาจทำให้เกิดจุดสีดำภายในหัวได้
5. ผักกาดหอมห่อซึ่งได้รับเอทธิลีนจะมีอาการจุดสีน้ำตาลแดง
(Russet spot) ขึ้นที่ก้านใบถ้าหากอาการรุนแรงจะทำให้ก้านใบมีสีน้ำตาลแดง
ทั้งนี้เพราะเอทธิลีนไปกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมของเอนไซม์ โพลีฟีนอล ออกซิเดส (Polyphenol
Oxidase) ทำให้เกิดสารประกอบฟีนอล (Phenolic) มาก
6. กระตุ้นให้เกิดอาการผิดปกติในดอกไม้
เช่น การม้วนเข้าของกลีบดอก กลีบดอกมีสีซีด เหี่ยว ร่วงโรยก่อนกำหนด
และเอทธิลีนปริมาณ 0.5
ส่วนต่อล้านสามารถทำให้ดอกคาร์เนชั่นไม่บาน (Sleepiness)
8. หัวของไม้ดอกบางชนิดเมื่อได้รับเอทธิลีนจะเกิดอาการยางไหลหรือตามีสีน้ำตาล
และมีอัตราการหายใจสูงขึ้น
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเหี่ยว
1. อุณหภูมิอุณหภูมิสูงทำให้อัตราการหายใจเพิ่มขึ้นอย่างมากการลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วและเหมาะสมสำหรับดอกไม้แต่ละชนิดจึงเป็นเรื่องจำเป็นการลดอุณหภูมิอาจใช้วิธี
Forced air cooling ซึ่งสามารถลด Field heat ออกจากดอกไม้ได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าในขั้นต้นของการลงทุนจะสิ้นค่าใช้จ่ายมากก็ตามผู้ทำงานเกี่ยวกับดอกไม้ ที่ตัดแล้วนิยมใช้การทำความเย็นโดยวิธีกรรมดาหรือ
Room cooling จากเครื่องปรับอากาศหรือตู้เย็นขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังอาจใช้น้ำแข็งบรรจุคั่นในชั้นต่างๆของก้านดอกไม้ภายในกล่องบรรจุเดียวกันเช่นการเก็บรักษา ดอกกุหลาบให้สดอาจทำได้โดยใช้ลังหรือถังบรรจุน้ำแข็งที่ใช้ในการค้าทั่วไปนำมาบรรจุกุหลาบที่มีก้านดอกแทนชั้นหนึ่งแล้วเทน้ำแข็งละเอียดลงสลับกันจนกระทั่งดอกกุหลาบเต็มดังนั้นวิธีการนี้อาจช่วยให้กุหลาบมีความทนทานได้ถึงนับสิบวันระหว่างรอการจำหน่าย
2. นํ้าดอกไม้ที่ตัดออกจากต้นแล้วจะมีความไว้ต่อการเสียน้ำอย่างมากกว่าชิ้นส่วนอื่นๆของพืชเนื่องจากพื้นผิวมากและคายน้ำออกทางใบดอกจะเหี่ยวก้านดอกจะงอพับการตัดใบออกบ้างเล็กน้อยจะช่วยลดการคายไอน้ำแต่ไม่ควรจะตัดใบออกเกิน
30 % เพราะพืชยังต้องการใบในการปรุงอาหารแสงสว่างและใบก็เป็นส่วนของการสะสมอาหารการเคลื่อนที่ของน้ำในก้านดอกจะเกิดขึ้นได้ดีหากน้ำในแจกันมีความเป็นกรดเล็กน้อยการเกิดการอุดตัน(Plugging)
ที่ปลายก้านของดอกไม้ที่แช่อยู่ในแจกันนับว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลำเลียงน้ำเนื่องจากน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญที่ยับยังการเหี่ยวของดอกไม้ดังนั้นผู้ดูแลรักการดอกไม้จึงนิยมใช้กระป๋องแช่ดอกไม้กระป๋องซึ่งกินเนื้อที่และมีน้ำบรรจุอยู่ทำให้การลดอุณหภูมิทำได้ช้าและน้ำในกระป๋องจะเป็นสาเหตุให้เกิดการเน่าเสียของก้านดอกไม้ได้เร็วขึ้น
เนื่องจากไม่ชอบอากาศถ่ายเทจึงต้องเปลี่ยนน้ำที่แช่ดอกไม้ให้บ่อยครั้งและทำความสะอาดภายในภาชนะที่บรรจุนั้นด้วยคุณภาพของน้ำเป็นสิ่งสำคัญมากที่ช่วยให้ดอกไม้สดและคงทนน้ำประปาไม่เหมาะในการแช่ดอกไม้เพราะมีเกลือจากสารส้มและปูนขาวมากน้ำที่เหมาะสมในการแช่ดอกไม้ได้แก่Deionzed water หรือน้ำฝนความเป็นกรดที่พอเหมาะของน้ำจะรักษาดอกไม้ให้อยู่คงทนมีค่า
pH ประมาณ 3-3.5
กรดที่จะนำมาปรับความเป็นกรดด่างของน้ำคือกรด Citric
3. ปริมาณคาร์โบไฮเดรตการตัดดอกไม้อาจทำได้ตั้งแต่ขณะที่ดอกยังตูมหรือเริ่มบานเล็กน้อยเช่นกุหลาบCladiolusและดอก Carnation เพื่อความสะดวกในการขนส่งและเก็บรักษาดอกไม้เหล่านี้จะมีการเติบโตขึ้นเมื่อบานตัวอย่างเช่น น้ำหนักแห้งของดอกกุหลาบที่บานแล้วจะเป็นสองเท่าของดอกตูมเมื่อตัดขาดออกจากต้นแสดงว่ากุหลาบจะมีการสังเคราะห์อาหารหรือดึงดุดอาหารจากส่วนที่สะสมไว้หรือจากน้ำที่หล่อเลี้ยงดังนั้นดอกไม้ที่มีอาหารมากในกิ่งที่ตัดจะมีคุณภาพดีกว่ากิ่งที่สั้นหรือขาดความสมบูรณ์การเติมน้ำตาลในทันทีทันใดที่ตัดกิ่งออกจากต้นและนำมาแช่ในสารละลายของน้ำตาลเจือจางประมาณ
24
ชั่วโมงจะช่วยให้ดอกไม้มีคุณภาพทนกว่าไม่ได้เติมน้ำตาลเช่น
ใช้ 20 %
sucrose แช่ช่อดอก Gladiolus จะทำให้ดอกบานมากขึ้นนอกจากนี้ยังอาจเติมน้ำตาลประมาณ
1.5 % ลงไป
ในแจกันที่แช่ดอกไม้ตลอดได้ในสารละลายนั้นก็ยังอาจเติมสารกันเจริญของจุลินทรีย์ลงไปด้วย
4. สารควบคุมการเจริญเอททีลีนเป็นสารที่ทำให้ดอกไม้เหี่ยวซีดกลีบร่วงและหลุดออกจากดอกได้ง่ายมาก
อุปกรณ์และวิธีดำเนินการ
วัสดุอุปกรณ์
1. ดอกรัก
2. น้ำสะอาด 120 ml
3. ยาน้ำซาร่า 60 ml
4. M 150 60 ml
5. กล่องพลาสติก
วิธีการดำเนินการ
1 เตรียม M 150 กับยาน้ำซาร่าอย่างละ 1 ขวด
และเตรียมดอกรักในปริมาณที่พอเหมาะ
2 นำ M 150 กับยาน้ำซาร่ามาผสมน้ำอย่างละ 60 ml แล้วใส่ในภาชนะพลาสติกที่แบ่งครึ่ง
3 ใส่ดอกรักในปริมาณเท่าๆกันลงไปใน M 150 และยาน้ำซาร่าในภาชนะพลาสติกที่แบ่งครึ่ง
3 ใส่ดอกรักในปริมาณเท่าๆกันลงไปใน M 150 และยาน้ำซาร่าในภาชนะพลาสติกที่แบ่งครึ่ง
4 จากนั้นก็นำดอกรักแช่ทิ้งไว้ในภาชนะพลาสติกที่ใส่ M
150 และยาน้ำซาร่าเป็นเวลา 1 ชั่วโม
5 พอแช่ดอกรักไว้ครบตามเวลาที่กำหนดก็นำดอกรักไปล้างทำความสะอาด
6 หลังจากล้างทำความสะอาดดอกรักเรียบร้อยแล้วก็นำไปใส่ในภาชนะพลาสติกที่ล้างทำความสะอาด เรียบร้อยแล้ว
7 รอดูผลการทดลอง
ผลการดำเนินการ
จากการศึกษาการรักษาความสดของดอกรักซึ่งได้ดำเนินการโดยนำดอกรักแช่ใสสาร ระหว่างซาร่าและเครื่องดื่มชูกำลัง
และทำการทดสอบเปรียบเทียบความสดของดอกรักในแต่ละสารโดยใช้เวลาในการสังเกตทุก 10 นาทีได้ผลการทดลอง
ตารางที่ 1
: ตารางบันทึกผลการทดลอง
ชนิดของสาร
|
การเปลี่ยนแปลงของดอกรักหลังจากล้างน้ำ(สี)
|
||||||
ระยะเวลาที่แช่สาร(นาที)
|
10
|
20
|
30
|
40
|
50
|
60
|
|
ยาซาร่า
|
สีขาว
|
สีขาว
|
สีขาว
|
สีขาว
|
สีขาว
|
สีขาว
|
|
เครื่องดื่มชูกำลัง(M150)
|
สีขาว
|
สีขาว
|
สีขาว
|
สีน้ำตาล
|
สีน้ำตาล
|
สีน้ำตาลเข้ม
|
|
ผลการทดลอง
จากตารางผลการทดลองของยาซาร่า
และเครื่องดื่มชูกำลังที่มีดอกรักแช่ทิ้งไว้ และสังเกตสีของดอกรักทุก 10 นาที พบว่า เวลาผ่านไป 30 นาที
ดอกรักยังคงมีลักษณะของสีเหมือนกัน
นาทีที่ 40 เป็นต้นไป สีของดอกรักเริ่มมีสีน้ำตาลจนถึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มที่นาที
60 ส่วนดอกรักที่แช่ในยาซาร่ายังคงมีสีขาวสดเหมือนเดิมยังไม่เปลี่ยนแปลง
สรุปผลการดำเนินการ และ ข้อเสนอแนะ
ผู้จัดทำได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษา
เพื่อทดสอบและประเมินประสิทธิภาพของการใช้สารเคมีเพื่อชะลอการดำคล้ำของดอกรักผู้จัดทำได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลและดำเนินการทดลอง
โดยใช้อุปกรณ์
จากนั้นนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดนำมาประเมินประสิทธิภาพของสารเคมีทั้งสองชนิด
โดยการนำดอกรักที่ทำการทดลองมาเปรียบเทียบด้วยสายตา
สรุปผลการดำเนินการ
จากการประเมินประสิทธิภาพของสารเคมีทั้งสองชนิด
หลังจากทดลองแช่สารทั้งสองเป็นเวลาประมาณ 1 ชม.
แล้วนำมาล้างให้สะอาดแล้วทิ้งไว้อีกประมาณ 1 ชม. หลังจากที่มองด้วยสายตา
สามารถสรุปผลได้ดังนี้ สารเคมีที่ทดลองใช้
มีประสิทธิภาพในการชะลอความดำคล้ำของดอกรักมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกันหลังจากผ่านการทดลองแช่สารเคมีทั้งสองเป็นเวลาประมาณ
1 ชม. แล้วนำมาล้างให้สะอาดแล้วทิ้งไว้อีก 1 ชม. มีจำนวนรอยดำคล้ำที่ต่างกัน
ซึ่งสรุปได้ว่ายาซาร่ามีประสิทธิภาพในการชะลอความดำคล้ำของดอกรักได้มากกว่าเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะยาซาร่ามีสาร salicylic ซึ่งช่วยในการกระตุ้นการเจริญเติบโตและต่อต้านโรคของพืชจึงช่วยในการรักษาความสดของดอกกุหลาบไว้ได้นาน
ไม่เหี่ยวเฉาง่าย
โดยสังเกตได้จากดอกกุหลาบที่สดไม่เหี่ยวเฉา
และ salicylic ยังเป็นสารตั้งต้นผลิตอิมมูนซึ่งเป็นสารกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกันโรคพืช
ซึ่งประกอบด้วยสารซาลิไซลิค แอซิด กรดอะมิโน โปรตีน ธาตุอาหาร สารสกัดสมุนไพร
สารสกัดเห็ด และฮอร์โมนธรรมชาติที่ ช่วยกระตุ้นให้พืชสร้างความต้านทาน
และป้องกันโรคพืชได้ เช่น ใบด่างไวรัส ยอดหงิก แอนแทรกโนส ใบจุด ผลเน่า
ดอกเน่าใบไหม้ เมล็ดลาย ราน้ำค้าง ราสนิม โรคกุ้งแห้ง โรคตากบตาเสือ และรากเน่า
โคนเน่า เป็นต้น
ข้อเสนอแนะ
จากการทดลองพบว่ายาซาร่ามีประสิทธิภาพในการชะลอความดำคล้ำของดอกรักได้มากกว่าเครื่องดื่มM150 ดังนั้น
ควรใช้ปริมาณยาซาร่าในปริมาณที่พอเหมาะกับจำนวนดอกรัก
ขั้นตอนการปฏิบัติ
เตรียม M 150 กับยาน้ำซาร่าอย่างละ 1 ขวด
และเตรียมดอกรักในปริมาณที่พอเหมาะ
2. นำ M 150 กับยาน้ำซาร่ามาผสมน้ำอย่างละ 60 ml แล้วใส่ในภาชนะพลาสติกที่แบ่งครึ่ง
3. ใส่ดอกรักในปริมาณเท่าๆกันลงไปใน M 150 และยาน้ำซาร่าในภาชนะพลาสติกที่แบ่งครึ่ง
4.
จากนั้นก็นำดอกรักแช่ทิ้งไว้ในภาชนะพลาสติกที่ใส่ M 150 และยาน้ำซาร่าเป็นเวลา
1 ชั่วโมง
5.
พอแช่ดอกรักไว้ครบตามเวลาที่กำหนดก็นำดอกรักไปล้างทำความสะอาด
6.
หลังจากล้างทำความสะอาดดอกรักเรียบร้อยแล้วก็นำไปใส่ในภาชนะพลาสติกที่ล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
7. รอดูผลการทดลอง (ดังภาพ 17 )
M150 (ขวา)/ยาซาร่า(ซ้าย)
บรรณานุกรม
เดชา ศิริภัทร. (2551). “ดอกรัก”. [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th.
[28 ต.ค. 2014].
นิจศิริ เรืองรังษี. (2549). หนังสือสมุนไพรไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น
เภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. (2554). “รัก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/. [28 ต.ค 2014].
องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “รักดอก”. [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org.
[28 ต.ค. 2014].